สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลบในตลาดนิวยอร์กในวันอังคาร (16 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง โดยราคาน้ำมัน WTI ลดลง 5 เซ็นต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 85.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.08% ปิดที่ 90.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ในช่วงแรก ราคาน้ำมัน WTI เพิ่งพุ่งขึ้นเหนือระดับ 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในระหว่างที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากที่พลโทเฮอร์ซี ฮาเลวี เสนาธิการกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (IDF) ส่งสัญญาณว่า อิสราเอลจะทำการตอบโต้อิหร่าน ซึ่งนั้นสร้างความกังวลว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงอาจจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน

นายพาวเวลได้กล่าวในงานเสวนาว่า “ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อนั้น แม้ว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เฟดมีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ด้วยเหตุนี้ เฟดจึงจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น”

ราคาน้ำมันยังถูกกดดันหลังจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล

นักวิเคราะห์จากบริษัท ING Groep NV ในสิงคโปร์กล่าวว่า “ขณะนี้นักลงทุนจับตาท่าทีของอิสราเอลอย่างใกล้ชิด โดยหากอิสราเอลใช้ปฏิบัติการตอบโต้อิหร่านก็อาจจะทำให้สถานการณ์ ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาด เนื่องจากอิหร่านเป็นสมาชิกรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และสามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน”

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความเคลื่อนไหวของสหรัฐ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เพื่อตอบโต้กรณีที่อิหร่านโจมตีอิสราเอล โดยนักลงทุนมองว่าหากสหรัฐใช้มาตรการดังกล่าวก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน