BAY คาดกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 36.40-37.00 ตลาดทบทวนแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้อยู่ในช่วง 36.40-37.00 บาท/ดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเงินบาทปิดแข็งที่ 36.61 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 36.25-36.79 บาท/ดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์มีค่าคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินสำคัญอื่น ๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเงินเยนมีการประสบความอ่อนแอในระดับต่ำสุดใน 34 ปีและเงินยูโรลดลงไปยังระดับต่ำสุดใน 5 เดือน นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ (US Treasury) มีการเพิ่มขึ้นหลังจากเงินดอลลาร์เพิ่มค่ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนที่ 3 เป็นต่อเนื่อง

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 เดือน ในขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเปรียบเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในไตรมาส 1/67 ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 4.2% โดยเป็นการเร่งตัวขึ้นจาก 3.4% ในไตรมาส 4/66 ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คงดอกเบี้ยที่ 4.00% แต่ส่งสัญญาณว่าอาจลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน

นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยในปริมาณ 7,918 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตรสุทธิในปริมาณ 16,566 ล้านบาท

ในภาพรวมในสัปดาห์นี้ การเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อและการจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐฯมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งส่งผลให้ตลาดทบทวนคาดการณ์เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จากเดือนมิถุนายนไปยังเดือนกันยายน ในภาวะเช่นนี้ คาดว่าดอลลาร์จะได้รับการสนับสนุนในระยะสั้น นอกจากนี้ ความตึงเครียดในด้านภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงที่ราคาพลังงานจะทะยานขึ้นและฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะกระตุ้นความต้องการใช้เงินดอลลาร์อีกทางหนึ่ง

ส่วนตามสถานการณ์ภายในประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 มีแนวโน้มการขยายตัวที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐในช่วงที่เหลือของปี ในขณะที่การส่งออกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และ กนง.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายปลายปีนี้ กรณีกรรมการ 2 รายเห็นว่าควรลดดอกเบี้ยให้เหลือ 2.25% ในการสอดคล้องกับศักยภาพของเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง และจะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้บางส่วนได้ กรณีกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า นโยบายการเงินมีผลกระทบจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ดังนั้น เราเห็นว่า ท่าทีล่าสุดของ กนง. ยังไม่ต้องการที่จะรีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ หากแนวโน้มของเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ กนง.ประเมินไว้